10 น้ำยาล้างรถ ยี่ห้อไหนดี เงางาม ล้างสะอาด ขจัดคราบดีเยี่ยม ปี 2024

การเลือกน้ำยาล้างรถหรือแชมพูล้างรถที่เหมาะสมจะช่วยให้การล้างรถของคุณไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ซึ่งบ่อยครั้งที่คุณต้องเสียเงินกับการทำความสะอาดรถยนต์ที่คาร์แคร์ แต่ตอนนี้คุณสามารถล้างรถด้วยตัวเอง เพียงเลือกใช้แชมพูล้างรถที่เหมาะสมก็จะช่วยประหยัดแรงไปได้มาก สามารถล้างรถแบบสบายๆ ไม่ต้องเปลืองแรงขัด หัวข้อนี้เราจะมาแนะน้ำวิธีเลือกใช้น้ำยาล้างรถที่ช่วยให้รถดูใหม่ เงางาม ไม่ต้องง้อคาร์แคร์แถมมีหลากหลายยี่ห้อ หลายราคา แล้วน้ำยาล้างรถที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร?

• ควรเช็กค่า pH ของน้ำยาล้างรถก่อนทุกครั้ง
  การเลือกน้ำยาล้างรถที่เหมาะกับรถคุณ เหตุผลหลักเลยควรดูค่า pH ที่อาจส่งผลเป็นกรดกัดกร่อนต่อตัวรถของคุณได้ นอกจากการทำความสะอาดคราบติดแน่น รักษาความเงางามต่าง ๆ แล้วควรเลือกน้ำยาล้างรถ หรือแชมพูล้างรถที่มีค่า pH เป็นกลางเพื่อป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ในภายหลัง
• เลือกชนิดน้ำยาล้างรถที่เหมาะกับสีของตัวรถ
  การเลือกน้ำยาล้างรถที่เหมาะกับรถคุณเหตุผลที่สองคือ สีของรถมีความแตกต่างกันในแง่ของความเข้มความอ่อน ของสีรถซึ่งรถที่มีสีอ่อนควรเลือกแชมพูที่มีส่วนผสมของสารเคลือบผิวรถยนต์เพราะอาจเกิดรอยได้ง่ายกว่า รถที่มีสีเข้ม ๆ นั้นควรเลือกแชมพูที่มีส่วนผสมของพิลิเมอร์ต่าง ๆ เคลือบให้ผิวมันเงา งาม ป้องกันการเกิดฝุ่นเกาะ
• เลือกน้ำยาล้างรถที่มีโฟม
  การเลือกน้ำยาล้างรถที่เหมาะกับรถคุณเหตุผลสุดท้าย คือต้องล้างออกได้ง่ายเพราะน้ำยาล้างรถต่างๆ ส่วนมากมีสารทำให้เกิดฟองและโฟม ได้ง่ายเพื่อให้จับสิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้หลุดล่อนออกมาได้อย่างง่ายดาย การล้างฟองและโฟมต่าง ๆ ได้ง่ายจะช่วยให้ประหยัดเวลาการล้างรถ ได้มากกว่าที่คุณคิด

การล้างรถแบบมีขั้นตอนนั้นนับเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวรถให้ยาวนานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รถดูสะอาดน่ามอง และช่วยถนอมสีรถไปในตัวได้ด้วย แต่จะมีเทคนิคและขั้นตอนการล้างรถแบบคาร์แคร์อย่างไรบ้าง! ไปดูไปพร้อมกัน รับรองว่าการล้างรถด้วยตัวเองนั้นสนุก ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีแถมสะอาดเงางามเหมือนล้างที่คาร์แคร์อย่างแน่นอน

1. ฉีดน้ำไล่คราบฝุ่นสกปรก: ขั้นตอนแรกของการล้างรถที่ดีนั้น ควรจะทำการฉีดน้ำล้างฝุ่นละอองหรือคราบสกปรกต่างๆ ออกจากล้อหรือตัวรถ นับเป็นขั้นตอนสำคัญในการล้างรถอย่างมาก เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการล้างรถของคุณได้ โดยการใช้น้ำเปล่าล้างรถให้สะอาดนั้น ควรฉีดไล่น้ำตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านข้าง-ด้านล่าง เพื่อล้างคราบสกปรกต่างๆ ให้หลุดออกไปจากตัวรถให้มากที่สุด  นอกจากนี้ควรแยกน้ำออกเป็น 2 ถัง ซึ่งถังแรกจะใช้สำหรับผสมน้ำยาล้างรถโดยเฉพาะ และถังที่สองสำหรับการจุ่มล้างเมื่อขัดบนตัวรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนำไปชุบถังที่ผสมน้ำยาล้างรถ
2. ผสมน้ำกับน้ำยาล้างรถ : ในขั้นตอนการล้างรถแบบคาร์แคร์นั้น จะต้องมีการกะปริมาณการผสมน้ำยาล้างรถกับน้ำเปล่าที่กำหนดไว้หรือตามความเหมาะสม รวมไปถึงเตรียมถังน้ำเปล่าสำหรับล้างฟองน้ำให้พร้อม เพื่อให้ตัวน้ำยาได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ส่วนผสมอย่างสบู่ หรือน้ำยาล้างจาน เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยด่างหรือเกิดคราบเปื้อนต่อตัวรถได้ อีกทั้งยังทิ้งคราบหลงเหลือให้คุณได้ตามเก็บจนปวดหัวอีกต่างหาก
3.  ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง :การเริ่มทำความสะอาดจากหลังคาก่อนลงด้านข้างโดยใช้ฟองน้ำสำหรับล้างรถนั้น จะช่วยให้คุณเรียงลำดับการทำความสะอาดได้ง่ายมากขึ้น โดยการล้างส่วนใดส่วนหนึ่งเสร็จให้ทำการจุ่มฟองน้ำที่ใช้แล้วลงในถังน้ำเปล่าที่คุณได้เตรียมไว้ เพื่อทำความสะอาดฝุ่นและเศษสกปรกต่างๆ ก่อนจะนำไปใช้ทำความสะอาดบริเวณอื่น ๆ ต่อไป
4.  ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน :คงไม่ดีแน่ หากคุณใช้ฟองน้ำชิ้นเดียวในการล้างรถ เพราะการเช็ดรถส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำมาเช็ดต่อในบริเวณอื่นๆ อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนต่อรถคันโปรดของคุณได้ ขั้นตอนการล้างรถ คาร์แคร์ที่ดีควรจะมีการแยกฟองน้ำในการเช็ดบริเวณต่างๆ เช่น ฟองน้ำชิ้นแรกใช้เช็ดทำความสะอาดฝากระโปรงหน้า-ฝาหลังโดยเฉพาะ ส่วนฟองน้ำชิ้นที่สองใช้ทำความสะอาดบริเวณล้อรถ และใช้ผ้าสำลีในการทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่างๆ เป็นต้น
5.  ล้างน้ำเปล่าทันที :เมื่อทำเช็ดทำความสะอาดส่วนใดส่วนหนึ่งของรถคุณเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรล้างน้ำเปล่าทันที โดยต้องทำกับทุกส่วนของตัวรถคุณ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดรอยคราบน้ำ หรือคราบน้ำยาต่างๆ ที่อาจตามมาหลังจากการเช็ดทำความสะอาดได้
6. ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน :หากทำความสะอาดตามขั้นตอนล้างรถในส่วนต่างๆ ของตัวรถของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อนต่าง ๆ อยู่นั้น ให้คุณทำการใช้น้ำยาขจัดคราบหรือรอยเปื้อนสำหรับรถยนต์โดยเฉพาะในการทำความสะอาดทันที เพราะสำหรับคนรักรถทุกคนคงเข้าใจดีว่าถึงแม้จะเป็นเพียงรอยเปื้อนคราบเล็กๆ บนพื้นผิวตัวรถ แต่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้ไม่น้อยเลยทีเดียว
7. เช็ดรถให้แห้งทันที :ทันทีที่ทำตามขั้นตอนการล้างรถ คาร์แคร์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเลือกเช็ดรถด้วยผ้าเนื้อนุ่ม ๆ ที่ซับน้ำได้ดีนั้น จะช่วยป้องกันการเกิดคราบน้ำ คราบฝุ่นที่จะมาเกาะพื้นผิวตัวรถได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดบริเวณกระจกหน้ารถ ฝากระโปรง ขอบประตู หรือฝาถังน้ำมัน เพื่อเพิ่มความสะอาดและเงางามให้กับตัวรถของคุณ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดสนิมอีกด้วย

รถยนต์ที่เราใช้งานนั้นควรมีการล้างรถ และเช็ดล้างทำความสะอาดจากสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง คราบน้ำ คราบดินโคลนที่เปรอะเปื้อนจากการใช้งาน จะช่วยให้รถยนต์ดูใหม่สะอาดเงางามอยู่เสมอ ซึ่งการล้างรถนั้นเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีคำถามว่า เราต้องล้างรถบ่อยแค่ไหน จำเป็นต้องล้างรถทุกวันไหม? เรามาหาคำตอบกัน

• ความถี่ในการล้างรถ: จริง ๆ แล้วการล้างรถไม่ได้มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่าจะต้องล้างรถกี่วัน กี่ครั้งต่อสัปดาห์ หรือกี่ครั้งต่อเดือน คุณสามารถที่จะล้างรถทุกวันก็ได้หากคุณเป็นคนที่รักรถไม่ใช่ชอบเห็นรถสกปรก มีฝุ่น หรือคราบน้ำ คราบโคลนต่าง ๆ หรือจะนาน ๆ ล้างรถทีก็แล้วแต่ความสะดวกได้เลย สำหรับความถี่หรือจำนวนครั้งในการล้างรถที่เหมาะสมต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ใช้รถยนต์มากน้อยแค่ไหน หากใช้งานทุกวันก็ควรล้างรถอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะรถต้องเจอกับฝุ่น ควัน สิ่งสกปรกต่าง ๆ รวมถึงฝุ่นที่สะสมภายในห้องโดยสาร แต่ถ้าไม่ค่อยได้ใช้รถเน้นจอดเสียมากกว่าอาจล้างเดือนละ 2 ครั้งก็ได้เช่นกัน 
• ล้างรถบ่อยมีผลเสียต่อสีรถไหม: ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด เนื่องจากการล้างรถนั้นไม่ได้เป็นการทำลายหรือมีผลเสียต่อสีของรถแต่อย่างใด เพราะสีของรถถูกเคลือบด้วยสารเคลือบเงาหรือชั้นแล็กเกอร์อีกทีหนึ่ง การล้างรถจึงเปรียบเสมือนเป็นตัวช่วยถนอมสีของรถยนต์ ซึ่งในน้ำยาล้างรถส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสารที่ทำหน้าที่เคลือบผิวรถ ป้องกันแสงแดด รังสียูวี และการจับตัวของฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่างๆ นั่นเอง