สายสุขภาพห้ามพลาด 7 ดัมเบล ยี่ห้อไหนดี น้ำหนักมาตรฐาน ดีไซน์สวย ปี 2024!

สำหรับประเภทของดัมเบลนั้น ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ดีสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ Fixed Dumbbells คือแบบที่ไม่สามารถปรับน้ำหนักได้ และ Adjustable Dumbbells คือแบบที่สามารถปรับน้ำหนักได้ ซึ่งนอกจากแบ่งกันจากเรื่องนี้แล้วยังแบ่งกันจากรูปทรงได้ดังนี้

• ดัมเบลกลม
  มาพร้อมลักษณะกลม ได้รับความนิยมมากที่สุด เจอได้ตามยิม และที่ออกกำลังกายต่าง ๆ หรือแม้แต่เหล่าผู้เริ่มต้นเข้าวงการเวทเทรนนิ่งก็มักเลือกดัมเบลแบบนี้ไปใช้กัน

• ดัมเบลหกเหลี่ยม
  ดัมเบลประเภทนี้ส่วนล่างนั้นจะมีพื้นที่แบน ทำให้สามารถวางได้ ไม่เลื่อนไหล มีหลากหลายขนาด ทำให้สามารถปรับท่าในการเล่นได้หลากหลายกว่า เช่น การวิดพื้น เป็นต้น

• ดัมเบลสามเหลี่ยม
  สำหรับดัมเบลประเภทนี้จะมาพร้อมรูปทรงสามเหลี่ยมตามชื่อเรียก เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้ดัมเบลมาบ้างแล้ว

• ดัมเบลเหล็ก
  ตัวนี้พบเห็นกันบ่อยที่สุด มีข้อดีตรงที่หาซื้อง่าย แต่ข้อเสียคือ อาจเกิดสนิมง่าย และวางลงแล้วเสียงดัง ถ้าเกิดตกกระแทกอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ต้องระวังในการใช้มากเป็นพิเศษ
• ดัมเบลยาง
  ตัวนี้เป็นการผลิตจากยาง ผสมกับผงเหล็ก หรือปูนซีเมนต์ มีความเบา ยืดหยุ่น มั่นคง เกาะมือได้ดี เหมาะกับคนที่กำลังเริ่มออกกำลังกาย
• ดัมเบลพลาสติก
  ตัวนี้เลือกมาเป็นพลาสติกแบบ PP หรือ PVC ที่ทนทาน แข็งแรง คล้ายพวกกระติกน้ำ ใช้ง่าย เพียงเติมน้ำลงไปก็สามารถได้น้ำหนักที่ต้องการมาเทรนกันแล้ว ซึ่งตัวนี้มาพร้อมราคาถูก

• มีเทคนิคที่เหมาะกับคุณ
  ถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายแบบนี้มาก่อน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาจุดที่เหมาะสม จากนั้นค่อยมาปรับฝึกด้วยตัวเอง และหากต้องการปรับเปลี่ยนเทคนิคก็ให้ถามผู้เชี่ยวชาญเป็นระยะ แบบนี้จะเพิ่มความปลอดภัยให้คุณได้มากขึ้น

• เริ่มอย่างไม่ใจร้อน
  เขื่อว่าคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายนั้นช่วงแรกมักมาพร้อมแรงใจและแรงกายที่เต็มเปี่ยม แต่ความใจเย็นและสม่ำเสมอกลับเป็นสิ่งที่จะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นควรเริ่มกันจากน้ำหนักเบา ๆ จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ โดยสัญญาณที่จะบอกว่าถึงเวลาเพิ่มน้ำหนักคือ คุณสามารถเริ่มยกน้ำหนักที่ฝึกอยู่ได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง

• เลือกน้ำหนักให้เหมาะ
  การตามหาอุปกรณ์ที่ยกได้สบาย ๆ 12-15 ครั้ง และหนักพอที่จะรู้สึกล้าเมื่อยกไป 2-3 เซต แบบนี้ถือว่ากำลังดี แต่ต้องไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ฝืน แบบนี้อาจหนักเกินไปและทำให้บาดเจ็บได้

• เวทเทรนนิ่งก็ต้องวอร์มร่างกาย
  หลายคนอาจคิดว่าไม่ได้คาร์ดิโอไม่ต้องวอร์มร่างกายก็ได้ บอกเลยว่าคุณอาจเสี่ยงกับการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกยืดก่อน ดังนั้นควรยืดกล้ามเนื้อ และคาร์ดอโอเบา ๆ 5-10 นาที จากนั้นค่อยลุยเวทเทรนนิ่งกันต่อ